Sunday, April 13, 2014

ประเทศไทย: ชาวตะวันตกฉีกโลกเก่าทิ้งเพื่อจะสร้างโลก”ใหม่”

Original in English: Thailand: West Tearing Down Old World to Build a “New” One


เขียนโดย: Tony Cartalucci
จากนิตยสารออนไลน์ “New Eastern Outlook
April 14, 2014



ขั้นตอนแรกในการปราบปรามประชาชนคือการระบุแหล่งที่มาของความแข็งแรง , ทำลายมันและในที่สุดก็กำจัดมัน ตำรากลยุทธ์นี้ใช้โดยจักรวรรดิตลอดประวัติศาสตร์ของมนุษย์ ยังคงถูกนำไปใช้ทั่วโลกในรูปแบบของ วอลล์สตรีท และ ลอนดอน ที่มีพยายามหาหนทางที่จะบรรลุผลแห่งการยึดครองโลก ในอดีตที่ผ่านมามันทำได้โดยให้สัญญาที่ว่า จักรวรรดิสง่างามคือ สังคม,เศรษฐกิจและกองทัพอันเกรียงไกร และควบรวมประเทศอื่น ๆ โดยที่ว่า มันจะทำให้ก้าวพ้นความล้าหลังและก้าวเข้าสู่ความเป็นศิวิไลซ์ วันนี้แบรนด์ของ “ศิวิไลซ์” จะรวมถึง "สิทธิมนุษยชน” ของ West และ เปลือกของ “ประชาธิปไตย" (human rights” and “democracy” racket)

ต้นกำเนิดของความแข็งแกร่งของไทย

มีความเป็นตัวของตัวเองและเป็นชาตินิยมอย่างรุนแรง และเป็นประเทศเดียวในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่สามารถหลีกเลี่ยงการเป็น อาณานิคมของยุโรป อธิปไตยของไทยได้รับความคุ้มครองนานกว่า 800 ปีโดยพระมหากษัตริย์ที่เคารพเทิดทูน ราชวงศ์ปัจจุบัน ราชวงศ์จักรี ครองราชสมบัติเกือบจะยาวนานเท่ากับการมีอยู่ของชนชาติอเมริกา และพระมหากษัตริย์ในปัจจุบันเปรียบได้ดั่ง “พ่อผู้สร้าง” ที่ยังดำรงอยู่ และเช่นเดียวกันกับที่มีมา 800 ปี ในวันนี้สถาบันกษัตริย์ไทย ยังคงมีคำตอบที่ตื่นตาตื่นใจและเต็มไปด้วยความหมายให้กับภัยคุกคามที่ราช อาณาจักรกำลังเผชิญอยู่ - รวมทั้งความหายนะทางเศรษฐกิจและความยากจน (immense corporate-financier monopolies)

คำตอบก็คือ ความพอเพียง การเป็นอยู่อย่างพอเพียงของคนในชาติ ในจังหวัด ในชุมชน และ ในครอบครัว แนวคิด “ทฤษฎีใหม่” หรือ “เศรษฐกิจพอเพียง” ของพระมหากษัตริย์ไทยเป็นที่น่ายกย่อง และ สะท้อนถึงความพยายามที่คล้ายกันที่พบได้ทั่วโลก ที่จะขจัดการกดขี่และการแสวงหาผลประโยชน์ ที่เป็นผลพวงมาจากระบบโลกาภิวัฒน์ที่มีกันอยู่ทั่วโลก โดยที่อำนาจการผูกขาดเป็นของกลุ่มสถาบันการเงิน

โดยสร้างสูตรสำเร็จ ในการปลุก กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ให้ทำลายความสามารถในการจัดการการฟื้นฟูทางเศรษฐกิจของเอเชีย ในช่วงปลายปี 2533 ในขณะที่ "ทฤษฎีใหม่“ เรียกร้องให้ทั้งส่วนรวม และ ปัจเจคบุคคล เติบโตอย่างยั่งยืน โดยการหลีกเลี่ยงการกู้ยืม และลงทุนในสิ่งที่ขยายตัวที่จับต้องได้, สินทรัพย์ทางด้านเทคโนโลยี เพื่อให้เกิดความหลากหลายและการเพิ่มกิจกรรมทางเศรษฐกิจในภายภาคหน้า

ชนชาติที่พอเพียง คือชนชาติที่เป็นรุ่งเรืองที่สุด - เป็นชาติหนึ่ง ที่เลือกวิธีการที่จะมีปฏิสัมพันธ์กับส่วนที่เหลือของโลกในแบบที่ตัวเอง กำหนด มากกว่าที่ชาติหนึ่งที่ก้มตัวลงเป็นหนึ่งข้ารับใช้ที่ต้องพึ่งพาการค้าขายระ หว่างประะทศ, "สถาบัน ระหว่างประเทศ" และ แก๊งค์ ธนาคารระหว่างประเทศ ประเทศที่พอเพียงดังกล่าวเป็นเสมือนคำสาปแช่งไปสู่พวกยึดครองโลกของ วอลล์สตรีท และ ลอนดอน

เพราะบาปของมนุษย์ที่ต่อต้านโลกาภิวัตน์ ประเทศไทยได้ตกเป็นเป้าหมายมาอย่างยาวนาน ครั้งแรกโดยจักรวรรดิอังกฤษและฝรั่งเศส แล้วต่อมาก็ แองโกลอเมริกัน ในต้องการที่จะบั่นทอนเสถีนรภาพ, ทำลาย และ จัดการใหม่ ในปี 1932 ได้มีการทำรัฐประหาร โดยกองทัพที่มีสหราชอาณาจักรหนุนหลังอยุ่ที่นำโดย ปรีดี พนมยงค์ เพื่อล้มล้างระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ของประเทศไทย และในปี 1946 เขาก็ถูกข้อกล่าวหาที่ว่าลอบสังหารกษัตริย์อันเป็นที่รักของปวงชน กษัตริย์ อนันทมหิดล เมื่อครั้งที่เขากลับมายังประเทศไทย ปรีดีหนีไปด้วยความช่วยเหลือของสหรัฐและอังกฤษ และกลับมาช่วงสั้นๆในปี 1949 เพื่อนำการทำรัฐประหารครั้งที่สองแต่ก็ไม่สำเร็จ แล้วเขาก็จะใช้เวลาที่เหลือของชีวิตของเขาอย่างผู้ถูกเนรเทศ

ในช่วงทศวรรษที่ 70-80 สิ่งที่เรียกว่า "คอมมิวนิสต์" ได้พยายามที่จะล้มล้างอำนาจทางการเมืองของประเทศไทยรวมทั้งสถาบันกษัตริย์ และล่าสุดไม่จานมานี้เอง มหาเศรษฐีที่มีสหรัฐอเมริกาหนุนหลัง เป็นอาชญากร ถูกข้อกล่าวหาในเรื่องการสังหารหมู่ และเป็นนักโทษหนีคดี ทักษิณ ชินวัตร ได้เป็นหัวหน้านำการบ่อนทำลายและล้มล้างสถาบันกษัตริย์ไทยมาเป็นเวลา 10 ปี โดยใช้ สิ่งที่เรียกว่าการเคลื่อนไหวเพื่อ “สนับสนุน ประชาธิปไดย”

“สนับสนุน - ประชาธิปไตย" การเคลื่อนไหวที่นึกไม่ถึง

ส่วนใหญ่ ของผู้สนับสนุน ทักษิณ ชินวัตร กราบไหว้และเคารพพระมหากษัตริย์ไทย โดยไม่ได้คำนึงอย่างจริงจังถึง สิ่งที่ทักษิณ ชินวัตร และ ผู้สนับสนุนต่างชาติของเขาออกแบบไว้ พวกเขาเชื่อว่าการต่อสู้ของพวกเขาหนึ่งของการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย เป็นตัวแทนที่ดีกว่า และกลุ่มคนส่วนใหญ่ของส่ิงที่กำล้งดำเนินอยู่--ที่พวกเค้าได้รับฟังมาว่าจัด ขึ้นโดยพวกชนชั้นสูงในกรุงเทพมหานคร ระบอบทักษิณมีความระมัดระวังในการแบ่งช่วงตอน ของ แผนการที่จะจัดรูปแบบใหม่ของการเมืองในประเทศไทย ให้การสนับสนุนเลี้ยงผู้สนับสนุนส่วนใหญ่ ที่ต่อต้านสถาบันกษัตริย์ให้โหมกระพือโฆษณาชวนเชื่อ และในวงในก็เพาะบ่ม พวกที่คิดล้มล้างสถาบันแบบสุดขั้ว ผู้ที่สนับสนุนทางออกแบบ “รูปแบบการปฏิวัติฝรั่งเศส” เพื่อที่จะยึดอำนาจและ เปลี่ยนแปลงประเทศไทย

อย่างไรก็ดี การเติบโตของการต่อต้านกลไกทางการเมืองของทักษิณ ชินวัตร ที่เริ่มต้นเมื่อเดือนตุลาคม 2556 และยังคงดำเนินอยู่ ได้สร้างความบาดแผลฉกรรจ์ให้กับชินวัตร ในความเจ็บปวดเจียนตายนี้ ทำให้ระบอบนี้เผยโฉมหน้าออกมา ซึ่งบางทีอาจจะไม่ได้ตั้งใจ ซึ่งได้ออกแบบที่จะประจัญหน้าเพื่อล้มล้างสถาบันกษัตริย์และสถาบันรากฐานของ ไทยโดยตรง — โดยการเช้ามาแทนที่ด้วย ระบอบที่ได้รับการสนับสนุนจากสหรัฐอเมริกาของทักษิณ ชินวัตร ที่มีความตั้งใจและจุดมุ่งหมายทั้งหมดที่การเป็นเผต็จการเบ็ดเสร็จ ที่มีสืบทอดทายาทมาจากเผด็จการ เป็นการมีอำนาจสมบูรณ์เหนืองปวงขน มากกว่าที่สมบูรณาญาสิทธิราชของราชวงศ์จักรีที่พวกเค้าต่อต้าน หลายเท่าตัว

ใน สารคดีที่ไม่มีความถูกต้องเลยของ นิตยสาร VICE ที่มีหัวเรื่อง “Bangkok Rising” (การลุกขึ้นสู้ของกรุงเทพฯ) หัวหน้าฝ่ายใข้กำลังความรุนแรงของผู้สนับสนุนระบอบ วุฒิพงศ์ กชธรรมคุณ (โกตี๋) ประกาศอย่างเปิดเผยว่าเขา จะต่อสู้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวของไทย ซึ่งเขา อ้างว่า เป็น “ผู้บงการ” และอยู่เบื้องหลัง "ทุกอย่าง" แม้ว่าพระมหากษัตริย์ จะทรงใช้เวลาส่วนใหญ่ บนรถเข็นและที่โรงพยาบาล โกตี๋ยังคงประกาศความตั้งใจของเขา ที่จะเริ่มต้น "สงครามทุกฝ่าย" ในประเทศไทย
แม้จะมีอคติพจน์ของโกตี๋ ความคิดของสงครามกลางเมืองในประเทศไทยก็คงยังเป็นเรื่องเพ้อฝัน ระดับความนิยมของ ชินวัตร มีเพียงแค่ 7%ที่ระบุว่าตัวเองเป็น "แดง" หมายถึง ผู้สนับสนุนทักษิณ ชินวัตร อย่างบ้าคลั่ง ที่เรียกเก็บเงินในการเป็น"เสื้อแดง” นั่นเมื่อตอนปี 2010

นับแต่นั้นมา ระบอบการปกครองของเขาที่ขณะนี้นำโดยน้องสาวของเค้าเอง ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ได้ทำความหายนะอย่างน่าเศร้าเสียใจต่อ ข้าว ไทย ด้วยโครงการเงินอุดหนุนข้าวทีมีเจตนาอันเลวร้ายเพื่อซื้อเสียง และนับแต่โครงการล้มเหลว ชาวนาหลายๆพันคนไม่ได้เงิน, ยากจน และ สิ้นหวัง ฐานซึ่งครั้งหนึ่งเป็นผู้สนับสนุนทางการเมืองของชินวัตร ได้ถูกผลักดันให้เป็นแปรเปลี่ยนเป็นฝ่ายตรงช้าม มีการปิดถนนหลายจุดในพื้นที่ที่เป็นจุดแข็งของทักษิณ ในภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ในขณะที่กลุ่มอื่นๆ ก็เดินทาเข้ากรุงเทพฯและเข้าร่วมการประท้วงที่เติบโตมากขึ้นที่นั่น

แม้จะมีความฝันเฟื่อง ของการก่อจลาจลรุนแรง ที่มุ่งล้มล้างสถาบันพระมหากษัตริย์ ไทย ของโกตี๋, ส่วนของฐานสนับสนุนของทักษิณ ชินวัตร ส่วนใหญ่จะไม่สนใจในภาพนั้น หลายคนยังคงประดับประดาบ้านของพวกเขา ยานพาหนะ และ ร่างกาย ด้วยภาพของการแสดงความเคารพต่อองค์กษัตริย์และพระบรมวงศานุวงศ์ของเขา ไม่ได้ตระหนักอย่างแท้จริง ของการออกแบบ รื้อทิ้งโลกเก่าของไทย ที่ชินวัตรและผู้สนับสนุนเงินทุนต่างประเทศของเขาได้ออกแบบไว้ และสร้างอำนาจการบงการของรัฐแบบใหม่ โดยมีความพยายามเมื่อไม่นานมานี้ที่จะแบ่งแยก “สาธารณะรัฐทักษิณ” ที่ภาคเหนือของประเทศไทยเพื่อบงการ รื้อทิ้งของโลกเก่าของประเทศไทย ที่ภาคเหนือของประเทศไทย แต่โดนทำให้เป็นฝันสลายโดยผู้ที่น่าจะเป็นผู้สนับสนุนเสียด้วยซ้ำ การล้มล้างสถาบันอาจจะแปรเปลี่ยนฝันสลายนั้นให้กลายเป็นการก่อให้การแข็งขืน ไปทั่วในหมู่ของผู้ที่เคยนิยมชมชอบที่นับวันก็จะลดน้อยถอยลงไปเรื่อยๆอยู่ แล้วก็เป็นได้

ของเก่าจงไป ของใหม่จงมา?

ในขณะที่หลายคนอาจยินดีต่อการล้มเลิกระบอบรัฐธรรมนูญของประเทศไทยที่มีพระ มหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ว่าเป็นสัญลักษณ์ของ “ความก้าวหน้า" แม้แต่ผู้ที่อยู่ใน ประเทศที่มกษัตริย์ตามรัฐธรรมนูญของตัวเอง นี่ขึ้นอยู่กับการรับรู้ของชาวตะวันตกเกี่ยวกับว่าสถาบันกษัตริย์คืออะไร - ไม่มีความรู้ว่า สถาบันของไทย มีทั้งในแง่ ที่แตกต่างกันกับสถาบันกษัตริย์ในโลกตะวันตก และเป็นศูนย์รวมชาวไทยที่ก่อให้เกิดความรุ่งเรืองอันยาวนาน ขอเพิ่มเติมว่า การมองหาสิ่งที่จะมาแทนที่นั้นอยู่บนพื้นฐานของการรับรู้ที่โง่เขลา

ทักษิณ ชินวัตร มีอำนาจในช่วงพศ. 2544-2549 นับแต่นั้นมาก็ยึดครองการเมืองไทยไว้ในอุ้งมืออย่างเหนียวแน่นผ่านชุดร่าง ทรงที่ได้รับมอบฉันทะต่อกันมา พี่เขย สมชาย วงศ์สวัสดิ์ ได้รับอำนาจในปี 2551 พี่สาวน้องสาวของเขาดำรงตำแหน่งต่างๆภายในพรรคทางการเมืองของเขา และปัจจุบันนี้น้องสาวคนสุดท้องของเขา ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ทำหน้าที่เป็น "นายกฯ” ในฐานะตัวแทนของเขา ในขณะที่เขาเลี่ยงโทษจำคุก 2 ปี, หมายจับหลายหมาย และ บัญชีรายการคดีที่รอขึ้นศาลอีกที่ยาวเหยียด

หรือจะพูดได้อีกอย่างว่า สิ่งที่พยายามที่จะเข้ามาแทนที่ระบอบรัฐธรรมนูญอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็น ประมุขของไทย คือ ระบอบที่มีเผ่าพันธู์ชัดเจน ชี้ตรงไปที่การให้อำนาจทางการเมืองผูกขาดกับตระกูลเพียงตระกูลเดียว ในขณะที่ผู้สนับสนุนที่บ้าคลั่งอย่าง โกตี๋ กล่าวอ้างอย่างไร้หลักฐานว่า กษัตริย์ไทย เป็น “ผู้บงการ” ตระกูลชินวัตรกำหนดอำนาจเผด็จการที่จะปกครองเหนืออาณาจักรไทยอย่างชัดเจน หาช่องทางที่จะเขียนกฎบัญญัติแห่งชาติใหม่ เอื้อให้ตัวเองมีอำนาจเพิ่มขึ้น และลดทอนการตรวจสอบใดๆและทั้งหมด และ การถ่วงดุลอำนาจ ที่จะเป็นอุปสรรคต่อการเพิ่มอำนาจทางการเมืองของพวกเขา

ด้วยการ พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร จับลูกชายขี้งอนของเขา พานทองแท้ "โอ๊ค" ชินวัตร แต่งเนื่อแต่งตัวเพื่อที่จะก้าว เข้าสู่เวทีการเมืองสักวัน ประเทศไทยจะต้องเผชิญกับการล้มล้าง ระบอบรัฐธรรมนูญที่มีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขอันเป็นพื้นฐานของความ รุ่งเรืองของพวกเขา และ ถูกแทนที่ด้วยระบอบทายาทเผด็จการที่มีต่างชาติหนุนหลังอยู่ ถ้าจะวัดว่ามีจำนวนต่างชาติให้การสนับสนุนทักษิณ ชินวัตร มาแค่ไหน ส่ิงเดียวที่ต้องทำคือลองดูบัญชีรายชื่อที่ยาวเหยียดของลอบบี้ยิสต์ที่ วอชิงตัน ที่ยืนเข้าแถวตามอยู๋ข้างหลังทักษิณ (the long list of Washington lobbyists that have lined up ) รวมถึงยังมีการโยงไยมากมาย ไปยัง Carlyle Group (of which Shinawatra was an adviser to ) ที่ซึ่ง ซินวัตรเป็นที่ปรึกษาให้ก่อนที่จะเข้าสู่ที่ทำงานในปี 2544

อีกครั้งที่ "หลักการ" ของตะวันตก ระเหยได้อย่างรวดเร็ว เผยให้เห็น การแสวงมาให้ได้ซึ่งอำนาจโดยไม่คำนึงถึงวิธีการ - รวมทั้งที่ จะแทนที่ราชวงศ์ที่เป็นที่เคารพเทิดทูน และเป็นเอกเทศที่ไม่เกียวข้องกับใครอื่นใด ด้วยการสนับสนุนระบอบทายาทที่เป็นสมุนน้อมรับใช้ความทะเยอทะยานของพวกตะวัน ตก ให้ประจานใส่ร้าย

สำหรับคนไทย ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายไหน ที่ถูกแบ่งแยกทางการเมือง พวกเค้าจะต้องเข้าใจความทะเยอทะยาน ที่แท้จริงของ ทักษิณ ชินวัตร และ การออกแบบที่ชาวต่างชาติเข้ามามีส่วนร่วม พวกเขาจะต้องถามตัวเองว่าระบอบการปกครองที่สืบทอดทายาทที่ให้ผลประโยชน์กับ ต่างชาตินั้น แท้จริงแล้วเกี่ยวกับ “ประชาธิปไตย” หรือ “ความก้าวหน้า” หรือ? และถ้าหากการยกเลิกสถาบันที่เป็นรากฐานอันยาวนานเพื่อแลกกับกลุ่มพวกพ้องที่ แฝงด้วยเล่ห์เหลี่ยมที่ร้ายกาจนั้นเป็นประโยชน์ที่ดีที่สุดของพวกเค้า? มันก็คงไม่เสียหายอะไรที่จะสันนิษฐานว่า ผู้ที่เป็น “เสื้อแดง” ของทักษิณ ชินวัตร ยังมีอยู่เป็นจำนวนมาก ผู้ที่ยังคงเป็นอยู่เหล่านั้นได้ยินคำพูดของ โกตี๋ และพวกเค้าจะถอนตัวออกมา เฉกเช่นเดียวกับคนไทยจำนวนหลายล้านคนที่เห็นแจ้งและเข้าใจ เรื่องการสมคบคิดทำร้ายชาติของพวกเค้า (the conspiracy against their nation)

Tony Cartalucci, นักวิจัยภูมิศาสตร์การเมืองและนักเขียน โดยเฉพาะสำหรับนิตยสารออนไลน์ “New Eastern Outlook