See the original in English: "A Tale of Two Protests: Ukraine and Thailand – End Game."
April 15, 2014 (โดย Tony Cartalucci - New Eastern Outlook) - ไม่มีอะไรที่แสดงให้เห็นถึง ความเจ้าเล่ห์ร้ายลึกของการกล่าวอ้างหลักการของชาวตะวันตกได้ดีไปกว่า ท่าทีที่แสดงออกต่อความขัดแย้งทางการเมือง 2 ความขัดแยังที่เกิดขึ้นในเวลาเดียวกัน - หนึ่ง ความขัดแย้งที่บ้าคลั่งในยุโรปตะวันออก "ประเทศยูเครน", อีกแห่งเกิดขึ้นในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ "ประเทศไทย" ไม่เพียง แต่เป็นวาทะกรรมโวหารของชาวตะวันตก(ที่ผู้เขียนใช้คำว่า West หรือ “ตะวันตก”) ไม่เพียงแต่การแสแสร้งต่อแต่ละการประท้วง แต่การสนับสนุนของพวกเขาได้แสดงให้เห็นถึงการยืมมือของฝ่ายที่ขัดแย้งกันและทำให้เป็นปัญหาที่ต่างชาติให้ความสนใจและมีความจำเป็นที่จะต้องเข้าไปแทรกแซง และออกแบบอนาคตให้กับประเทศต่างๆ ทั่วโลก ซึ่งการแทรกแซงต่างๆนั้นทั้งหมดก็เป็นเพื่อเพื่อผลประโยชน์และการขยายความเป็นมหาอำนาจของตะวันตกเท่านั้น
ความคล้ายคลึงกัน ...
การประท้วงทั้งที่เคียฟในยูเครน และ ที่กรุงเทพฯในประเทศไทย เริ่มต้นขึ้นในปลายปี 2013. ทั้งสองเกี่ยวข้องกับมวลชนขนาดใหญ่ของผู้ประท้วงที่ครอบครองสถานที่ชุมนุม อย่างถาวร บุกและเข้ายึดสถานที่ราชการ ใช้เครื่องมือก่อสร้างขจัดแนวเครื่องป้องกันของตำรวจ และปะทะกับตำรวจ และมีบางครั้งที่เกิดการเสียชีวิต การประท้วงทั้งสองต่อต้าน”รัฐบาลที่ฉ้อโกง" และการประท้วงทั้งสองต้องการที่จะโค่นอำนาจรัฐบาลของพวกเค้าที่มาจากการ เลือกตั้ง
ในยูเครน...
ในเมืองหลวงของยูเครน,เคียฟ ประท้วงเริ่มต้นจาก พรรคขวาจัดในรัฐบาลผสม ซึ่งมีสายสัมพันธ์ที่ยาวนานกับชาติตะวันตก เป็นพวกมีบุญคุณต่อสิ่งที่เรียกว่า “การปฏิวัติสีส้ม” (Orange Revolution) ซึ่งได้รับการจารึกไว้ว่า สหรัฐอเมริกา -สร้างกลไกการออกแบบการลุกฮือขึ้น เพื่อเสริมสร้างกำลังให้ระบอบต่อต้านรัสเซีย หนังสือพิมพ์ The Gardian ได้ยอมรับในบทความของเค้าในปี 2004 ที่มีชื่อว่า "US campaign behind the turmoil in Kiev” นั่นคือ:
"Euromaidan" คือทายาทล่าสุดของการกลไกของของระบบที่ซับซ้อนอุตสาหกรรมการเปลี่ยนระบอบของ สหรัฐอเมริกา พวกเขาพยายามหาลู่ทางที่จะรวมยูเครนเข้าสหภาพยุโรป เมื่อการบริหารงานชของรัฐบาลของนาย วิคเตอร์ ยานูโควิช (Viktor Yanukovych) ทำในทางตรงกันข้าม ฝูงชนก็ออกมาและทำโดยที่มีการสนับสนุนอย่างมากจากชาวตะวันตก
เมื่อการประท้วงที่ผ่านมาใน เคียฟ กลายเป็นความรุนแรงที่เพิ่มมากขึ้น ในโลกตะวันตกก็สร้างภาพให้รัฐบาลยูเครนเป็นเผด็จการ โหดร้าย ใช้กำลัง เกินความเหมาะสม กับสิ่งที่เขากล่าวอ้างว่าเป็น "ผู้ชุมนุมที่ปราศจากอาวุธ" หลังจากการล่มสลายของ วิคเตอร์ ยานูโควิช ไม่นาน ทาง BBC ก็ออกมายอมรับเองว่า ในความเป็นจริง กองกำลัง นีโอ นาซี (Neo Nazi) ไม่เพียงแค่ ก่อความไม่สงบ แต่ มีส่วนใหญ่มีอาวุธ กลุ่มกองกำลังติดอาวุธที่สาธารณะชนได้รับการบอกกล่าวซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่าไม่มี ตอนนี้ได้รับการขับเคลื่อนโดนระบอบใหม่ในเคียฟ ซึ่งกำลังหวาดหวั่นว่าสักวันปลายกระบอกปืนหันกลับมาที่พวกเขาเป็นรายถัดไป
แม้จะมีความขัดแย้งที่ถูกนำโดย กลุ่มติดอาวุธแสดงตัวว่าเป็นพวกนาซีอย่างเปิดเผย, เป็นพวกเหยียดผิว และ บ้าคลั่ง สหรัฐอเมริกาและยุโรป ยืนอย่างแข็งแกร่งอยู่เบื้องหลังพวกเขา พวกกลุ่มสนับสนุนการรวมยูเครนเข้าในสหภาพยุโรป ซึ่งจะทำให้ บริษัทยักษ์ใหญ่ที่มีอำนาจผูกขาดทางการเงินของ Wall Street และ London สามารถเอื้อมมือเข้าไปถึงได้ หลักการที่แท้จริงและเป็นหลักการเดียวที่อยู่เบื้องหลังการสนับสนุนนั้นมี นัยยะที่น่ารังเกียจ เป็นนาซีที่แท้จริง
ดังนั้นเพื่อเป็นการยืนยันการสนับสนุน "Euromaidan" อย่างเข้มแข็งของชาติตะวันตก วุฒิสมาชิกสหรัฐ จอห์น แม็คเคน ได้บินไปเคียฟและขึ้นบนเวทีเคียงข้างกับ ผู้นำของ พรรคขวาจัด สโวโบดา “Svoboda" แม็คเคนได้ไม่เพียงแต่เรียกร้องให้ชาวตะวันตก ให้การสนับสนุนอย่างต่อเนื่องต่อระบอบการปกครองใหม่ในเคียฟ แต่ยังให้สนับสนุนการให้คำปรึกษาทางทหาร และอาวุธ และให้เริ่มจัดส่งไปยัง ยูเครน โดยเขาหวังว่า จะกลายเป็นด้านหน้าติดอาวุธใหม่ เพื่อต่อต้านรัสเซียที่เป็นประเทศเพื่อนบ้าน
นอกเหนือไปจากภัยจากการคุกคามของแม็คเคน , ชาติตะวันตกมีความพยายามที่จะกำหนดบทลงโทษชาวยูเครนและชาวรัสเซียที่แสดงท่าที่เป็นภัยต่อระบอบการปกครองใหม่ที่ชาวตะวันตกถือหางในเคียฟอย่างชัดเจน - และ ขณะที่พวกเขาพยายามที่จะแต่งเนื้อแต่งตัวตัวผู้คนพวกที่เขาได้ช่วยให้เข้าสู่อำนาจ ด้วยหลักการ "ประชาธิปไตย" แต่แค่ตรวจสอบอย่างหยาบๆก็เป็นที่ชัดเจนแล้วว่ามันตรงกันข้าม
ในประเทศไทย …
ในกรุงเทพมหานครเมืองหลวงของประเทศไทย การประท้วงมาจากการร่วมมือกันของนักวิชาการ, นักการเมือง และ กลุ่มต่างๆของสังคม โดยกลุ่มโดดเด่นคือ การนำของพรรคประชาธิปัตย์ซึ่งเป็นพรรคฝ่ายค้าน และมีผู้ที่เข้าร่วมเป็นคนท้่วไปตั้งแต่สหพันธ์แรงการวิสาหกิจ มหาวิทยาลัย ข้าราชการ ชาวนาที่โดนโกง การเข้าร่วมการประท้วงครั้งนี้มาจากทุกภาคส่วนในสังคมไทย ทั้งในด้านภูมิภาคและ ด้านสังคม
พวกเขายืนตรงข้ามกับ ทักษิณ ชินวัตร แทนที่จะอ้างว่าเป็นโครงการการลุกขึ้นต่อสู้เพื่ออธิปไตยที่รัฐบาลขัดขวางอยู่อย่างในเช่นกรณีของการประท้วง Euromaidan ในยูเครน ในประเทศไทยผู้ประท้วงได้ต่อต้านการปกครองโดยเผด็จการ ของมหาเศรษฐี ทักษิณ ชิณวัตร ที่ยังคงมีอำนาจที่เหนียวแน่นในการเมืองไทยมานานกว่าทศวรรษ ขณะนี้ น้องสาวของเขาเอง ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ก็เป็นตัวแทนทางสัญลักษณ์ ในการดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีแทนเขา ในขณะที่เขาสั่งการอย่างเปิดเผยจากต่างประเทศ โดยขณะเดียวกันก็หลบหนีโทษจำคุก 2 ปี หมายจับหลายหมาย และ รายการคดีที่ต้องขึ้นศาลที่ยาวเหยียด
เขา(ทักษิณ) ยังคงมีความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิด กับ องค์กรเงินทุนตะวันตกระดับสูง นับย้อนไปตั้งแต่ปี 1990
เมื่อเขาทำหน้าที่เป็นที่ปรึกษา ให้กับ บริษัทซึ่งปัจจุบันคือ กลุ่ม คาร์ไลล์ กรุ๊ป ที่ฉาวโฉ่ และเมื่อเขาเข้าทำงาน ในปี 2001 เขากระหายอยากที่จะขายโครงสร้างพื้นฐานของไทย ทรัพยากรธรรมชาติ และ อำนาจอธิปไตย ให้กับ วอลสตีท และ ลอนดอน นอกจากนี้เขายังได้สั่งสม การละเมิดสิทธิมนุษยชนที่เลวร้ายที่สุด ในประวัติศาสตร์ไทย ฆ่าคนเกือบ 3,000 คน ใน 90 วันในช่วงของ "สงครามยาเสพติด" ในปี 2003 , ฆ่าผู้ประท้วง 85 คนในวันเดียว ในปี 2004 และ ในระยะแรกของการนั่งทำงานของเขาที่มีการลอบสังหาร หรืออุ้มหายไปของนักสิทธิมนุษยชน 18 คน ที่พยายามจะเปิดโปงการใช้อำนาจโดยมิชอบของเขา
ผู้ประท้วงเห็นการใช้อำนาจอย่างเผด็จการที่มากขึ้นๆของตระกูล "ชินวัตร" ในฐานะที่เป็นภัยคุกคามต่อประเทศที่ดำรงอยู่จริง ซึ่งรวมถึงเรื่องสัมปทานที่ทักษิณให้กับชาวตะวันตก นับตั้งแต่การเลือกตั้งทั่วไปในปี 2011 ที่ทำให้น้องสาวของเขา ได้เข้านั่งทำงาน ผู้ประท้วงเริ่มได้รับสัญญานเตือนว่าเป็นระบอบการปกครองแบบใช้ตัวแทนหุ่นเชิดของเขา ที่ได้ "ทำลายอุตสาหกรรมข้าวไทยด้วยมือของรัฐบาล" โดยที่ครั้งหนึ่งประเทศไทยถือเป็นผู้นำของโลกในการส่งออกข้าวและเคยเป็นผู้กำหนดมาตรฐานการค้าข้าวระหว่างประเทศมานานหลายปี แต่ตอนนี้ผลจากนโยบายจำนำข้าวได้ทำให้คุณภาพข้าวไทยตกต่ำลง ทั้งในแง่คุณภาพและปริมาณ และรัฐบาลยังไม่สามารถจ่ายเงินค่าข้าวตามสัญญาให้กับชาวนาหลายพันคนซึ่งมาถึงปัจจุบันนี้ นานมากว่าครึ่งปีแล้ว ที่ไม่มีการขายข้าว และข้าวที่ค้างโกดังอยู่ก็ไม่สามารถนำมาบริโภคได้ เพราะกลายเป็นข้าวเน่าในโกดังต่างๆทั่วประเทศไปหมดแล้ว
นอกจากนี้ ระบอบทักษิณนี้ยังมีความพยายามที่จะเขียนรัฐธรรมนูญใหม่ให้ตัวเองได้รับนิรโทษกรรม สำหรับความผิดทางอาญาที่ครอบคลุมอย่างกว้าง และกำจัดบทบัญญัตที่จำกัดอำนาจของสำนักงานนายกรัฐมนตรี - ทั้งหมดเป็นการเคลื่อนไหวที่ชัดเจนที่ใช้อำนาจเหนือกฏหมายเพื่อทำให้พ้นข้อกล่าวหา ของ ทักษิณ ชินวัตร เพื่อให้เขาได้อำนาจคืนมา และ ให้โอกาสเขาได้ขยายอำนาจ เมื่อเขากลับมา
"ตะวันตก” ได้มีปฏิกิริยาต่อผู้ประท้วงแบบแตกหัก โดยใช้เครื่องจักร “สื่อยักษ์ใหญ่” เพื่อใช้ต่อต้านผู้ประท้วง โดยวาดภาพให้พวกเค้าเป็นพวก”สังคมชั้นสูง” แม้ว่าจะมีคนจากชาวนาที่สิ้นเนื้อประดาตัวหลั่งไหลเช้ามาจากชนบทเพื่อเข้าร่วมในส่วนของพวกเค้า พวกสื่อตะวันตกก็ยังคงให้ชื่อในข่าวว่าเป็นการกิจกรรมของพวก “ต่อต้านประชาธิปไดย" และ แม้กระทั่ง พวก “กลุ่มใช้ความรุนแรง” ซึ่งไม่เป็นความจริง
เพราะการประท้วงในกรุงเทพฯ ไม่มีการกลุ่มติดอาวุธเหมือนการประท้วงของ Euromaidan ในยูเครน ตรงกันข้ามการประท้วงในกรุงเทพฯเป็นการประท้วงอย่างสงบและปราศจากอาวุธ มีแต่รัฐบาลเท่านั้นที่ใช้ความรุนแรง โดยมีการประกาศล่วงหน้าว่าจะมีการใช้ความรุนแรงต่อผู้ชุมนุมถ้าไม่มีการยุติการชุมนุม
โดยนิตยสารไทม์ วันที่ 16 มกราคม 2014 ได้รายงานในบทความ เรื่อง “ปิดกรุงเทพ: ผู้สนับสนุนยิ่งลักษณ์เตรียมการต่อสู้เพื่อประชาธิปไดย” (“Bangkok Shutdown: Yingluck Supporters Prepare to Fight for Democracy,”) ว่า:
อัมสเตอร์ดัม ก็เหมือนกับ พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร และ ระบอบตัวแทนหุ่นเชิดของเขา ที่พยายามวาทกรรมว่ามีการ " รัฐประหารโดยตุลาการ” ในกรณีที่ศาลได้ใช้อำนาจในการตรวจสอบการใช้อำนาจที่ไม่ถูกต้อง และการคอรัปชั่น (ที่ยังไม่ได้รวมถึงคดีโกงการจำนำข้าวที่ถือว่าเป็นกรณีเฉพาะ) และพยายามปิดทางการตรวจสอบทุกอย่างที่จะมีผลทำให้รัฐบาลชุดนี้ต้องออกไป ซึ่งในหลายประเทศการตรวจสอบรัฐบาลที่คอรัปชั่น ใช้อำนาจโดยมิชอบ ควรพิจารณาได้ว่าคือ "ความยุติธรรม" แต่สำหรับพวก "ตะวันตก" ที่พวกเขาถือหางกันการทำแบบนี้จะเรียกว่า "ความไม่ยุติธรรม" ไปทันที โดยพยายามเสนอมาตรการเข้าแทรกแซงเหมือนที่ อัมสเตอร์ดัม ทำกับประเทศไทยและ กลุ่ม "ตะวันตก"ที่ทำกับคนรัสเซียและคนยูเครนที่ต่อต้านการชุมนุมที่มีตะวันตกหนุนหลังในกรุงเคียฟ
เกมส์จบ
ภายใต้การสั่งการของโลก”ตะวันตก” ในตอนนี้ กลุ่มติดอาวุธที่ยึดอำนาจในกรุงเคียฟ กลับถูกเรียกว่าเป็น "ประชาธิปไตย" ในขณะที่คำตัดสินของศาลว่า รัฐบาลมีความผิดเรื่องคอรัปชั่นชัดเจนและมีการใช้อำนาจโดยมิชอบที่เกิดขึ้นในกรุงเทพฯกลับถูกตะวันตกเรียกว่าเป็นการ "รัฐประหาร" ” ซึ่งสามารถเห็นได้อย่างชัดเจนว่าตะวันตกนั้นสนับสนุนคนที่มีประโยชน์ต่อพวกเขาเท่านั้นซึ่งเหล่านี้เป็นการขยายอำนาจของประเทศมหาอำนาจในตะวันตก ในขณะที่พวกนาซีในเคียฟเต็มใจให้ ยูเครน ก้าวขึ้นไปอยู่ในสหภาพยุโรปเพื่อให้ยุโรปสามารถเข้ามากอบโกยผลประโยชน์และทรัพยากรจากยูเครนได้ ทักษิณ ชินวัตร เองก็ทำแบบนั้น ในการเต็มใจให้มหาอำนาจมาเข้าครอบครองตักตวงทรัพยากรของประเทศไทยมานานกว่าทศวรรษ ในรูปแบบของการค้าเสรี การแปรรูปรัฐวิสาหกิจ และการให้กองกำลังต่างชาติเข้ามาใช้ประโยชน์ในฐานทัพไทย
ในยูเครน กลุ่ม“ตะวันตก” ที่เป็นกลุ่มอำนาจใหม่ดูเหมือนจะยังไม่สา่มารถตั้งหลักในเคียฟได้มากนัก เห็นได้จากการสูญเสียไครเมีย (Crimea) รวมถึงมีการที่ยูเครนตะวันออกขู่ว่าจะมีการถอนตัวออกจากยูเครน แต่ยังไม่เป็นที่แน่ชัดว่า "เกมส์จบ" จะเป็นอย่างไร แต่อิทธิพลของตะวันตกเริ่มลดลงในทั่วโลก จึงได้แต่รอคอยให้พวกกล้าขึ้นลุกมาท้าทายต่อสู้กับกลุ่มอำนาจใหม่ที่ปกครอง "เคียฟ" อยู่ในตอนนี้
ในประเทศไทย ปรากฏว่า ระบอบของ ทักษิณ ชินวัตรได้ ถึงจุดสิ้นสุดของจุดสิ้นสุดแล้ว ศาลได้มีความชัดเจนในการดำรงความยุติธรรม โดยตัดสินให้ยิ่งลักษณ์ พ้นจากตำแหน่ง เพราะการบริหารงานอย่างที่ผิดพลาดมาตั้งแต่ปี 2011 กลุ่มที่เคยสนับสนุนอย่างเหนียวแน่นได้ลดน้อยลงอย่างมากและแย่ไปกว่านั้นคนกลุ่มนี้ยังไปร่วมกับผู้ต่อต้านระบอบทักษิณอีกด้วย
การกำจัดทักษิณออกจากภูมิทัศน์การเมืองของไทยอย่างถาวร จะเป็นเช่นเดียวกับประเทศอียิปต์ที่สามารถต่อต้านกลุ่มภราดรภาพมุสลิมที่ได้รับการสนับสนุนจาก”ตะวันตก”ได้สำเร็จ และลดการมีอิทธิพลของ "ตะวันตก" แบบที่ไม่สามารถกลับมามีอิทธิพลได้เหมือนแต่ก่อน ในขณะที่ "ตะวันตก" กำลังยุ่งกับการสร้างภาพป้ายสีปรากฎการณ์ที่เกิดขึ้นในประเทศไทยที่กำลังต่อต้านรัฐบาลเผด็จการว่าจะนำไปสู่สงครามกลางเมือง ซึ่งทั้งในแง่ประชากร และ ในแง่สถิติตัวเลขแล้ว ไม่มีทางเป็นไปได้ แต่การจบเกมส์ในไทยคือ "การใช้ความรุนแรงและการใช้กองกำลังก่อการร้าย" ซึ่งจะยิ่งเป็นหนทางทำให้เขาและคนในระบอบทักษิณหมดสิทธิ์ที่จะได้กลับมาสู่อำนาจได้อีก
โดย Tony Cartalucci กรุงเทพฯ, นักวิจัยภูิมิศาสตร์การเมือง และนักเขียน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สำหรับ นิตยสารออนไลน์ “New Eastern Outlook”.
April 15, 2014 (โดย Tony Cartalucci - New Eastern Outlook) - ไม่มีอะไรที่แสดงให้เห็นถึง ความเจ้าเล่ห์ร้ายลึกของการกล่าวอ้างหลักการของชาวตะวันตกได้ดีไปกว่า ท่าทีที่แสดงออกต่อความขัดแย้งทางการเมือง 2 ความขัดแยังที่เกิดขึ้นในเวลาเดียวกัน - หนึ่ง ความขัดแย้งที่บ้าคลั่งในยุโรปตะวันออก "ประเทศยูเครน", อีกแห่งเกิดขึ้นในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ "ประเทศไทย" ไม่เพียง แต่เป็นวาทะกรรมโวหารของชาวตะวันตก(ที่ผู้เขียนใช้คำว่า West หรือ “ตะวันตก”) ไม่เพียงแต่การแสแสร้งต่อแต่ละการประท้วง แต่การสนับสนุนของพวกเขาได้แสดงให้เห็นถึงการยืมมือของฝ่ายที่ขัดแย้งกันและทำให้เป็นปัญหาที่ต่างชาติให้ความสนใจและมีความจำเป็นที่จะต้องเข้าไปแทรกแซง และออกแบบอนาคตให้กับประเทศต่างๆ ทั่วโลก ซึ่งการแทรกแซงต่างๆนั้นทั้งหมดก็เป็นเพื่อเพื่อผลประโยชน์และการขยายความเป็นมหาอำนาจของตะวันตกเท่านั้น
ความคล้ายคลึงกัน ...
การประท้วงทั้งที่เคียฟในยูเครน และ ที่กรุงเทพฯในประเทศไทย เริ่มต้นขึ้นในปลายปี 2013. ทั้งสองเกี่ยวข้องกับมวลชนขนาดใหญ่ของผู้ประท้วงที่ครอบครองสถานที่ชุมนุม อย่างถาวร บุกและเข้ายึดสถานที่ราชการ ใช้เครื่องมือก่อสร้างขจัดแนวเครื่องป้องกันของตำรวจ และปะทะกับตำรวจ และมีบางครั้งที่เกิดการเสียชีวิต การประท้วงทั้งสองต่อต้าน”รัฐบาลที่ฉ้อโกง" และการประท้วงทั้งสองต้องการที่จะโค่นอำนาจรัฐบาลของพวกเค้าที่มาจากการ เลือกตั้ง
ในยูเครน...
ในเมืองหลวงของยูเครน,เคียฟ ประท้วงเริ่มต้นจาก พรรคขวาจัดในรัฐบาลผสม ซึ่งมีสายสัมพันธ์ที่ยาวนานกับชาติตะวันตก เป็นพวกมีบุญคุณต่อสิ่งที่เรียกว่า “การปฏิวัติสีส้ม” (Orange Revolution) ซึ่งได้รับการจารึกไว้ว่า สหรัฐอเมริกา -สร้างกลไกการออกแบบการลุกฮือขึ้น เพื่อเสริมสร้างกำลังให้ระบอบต่อต้านรัสเซีย หนังสือพิมพ์ The Gardian ได้ยอมรับในบทความของเค้าในปี 2004 ที่มีชื่อว่า "US campaign behind the turmoil in Kiev” นั่นคือ:
“ …... ในขณะที่กำไรที่ได้ของ ”การปฏิวัติเกาลัด” (Chestnut revolution) ที่ใช้สีส้มตกแต่งก็คือ ยูเครน การรณรงค์นี้เป็นการสร้างขึ้นของอเมริกา ที่มาจากการฝึกฝนในเรื่องการสร้างภาพลักษณ์ที่ช่ำชองและปราดเปรื่องในรูปแบบ ของการทำแบรนด์และการทำการตลาด โดยได้ถูกนำมาใช้ใน 4 ประเทศในเวลา 4 ปี ในความพยายามที่จะใช้เพื่อกอบกู้การเลือกตั้งใหญ่ และ โค่นล้มระบบที่น่ารังเกียจในขณะที่ “The Guardian” พยายามที่จะแสดงให้เห็นถึงการแทรกแซงของอเมริกาในหลายประเทศนั้นเป็นความพยายามที่จะ "กอบกู้การเลือกตั้งใหญ่ และ โค่นล้มระบอบการปกครองที่น่ารังเกียจ” แต่ก็ไม่สามารถปฏิเสธว่ามีการแทรกแซงเกิดขึ้น และ ยังคงดำเนินอยู่ต่อไป เพื่อบอกถึงรายละเอียดสำคัญว่าการแทรกแซงส่งผลอย่างไร
ได้รับทุนสนับสนุน และ จัดตั้งขึ้นโดย รัฐบาลสหรัฐ โดยการส่ง ทีมงานที่ปรึกษาของสหรัฐอเมริกา ผู้เชียวชาญด้านการหยั่งและทำคะแนนเสียง นักการทูต องค์กรหลายองค์กรทั้งจากพรรคใหญ่ทั้งสองพรรค และ ที่ไม่ใข่ของรัฐบาล ในการรณรงค์นี้ถูกนำมาใช้ ครั้งแรกในยุโรป ในเบลเกรด ในปี 2000 ที่เอาชนะ Slobodan Milosevic ด้วยกล่องลงคะแนนเสียง ......"
"Euromaidan" คือทายาทล่าสุดของการกลไกของของระบบที่ซับซ้อนอุตสาหกรรมการเปลี่ยนระบอบของ สหรัฐอเมริกา พวกเขาพยายามหาลู่ทางที่จะรวมยูเครนเข้าสหภาพยุโรป เมื่อการบริหารงานชของรัฐบาลของนาย วิคเตอร์ ยานูโควิช (Viktor Yanukovych) ทำในทางตรงกันข้าม ฝูงชนก็ออกมาและทำโดยที่มีการสนับสนุนอย่างมากจากชาวตะวันตก
เมื่อการประท้วงที่ผ่านมาใน เคียฟ กลายเป็นความรุนแรงที่เพิ่มมากขึ้น ในโลกตะวันตกก็สร้างภาพให้รัฐบาลยูเครนเป็นเผด็จการ โหดร้าย ใช้กำลัง เกินความเหมาะสม กับสิ่งที่เขากล่าวอ้างว่าเป็น "ผู้ชุมนุมที่ปราศจากอาวุธ" หลังจากการล่มสลายของ วิคเตอร์ ยานูโควิช ไม่นาน ทาง BBC ก็ออกมายอมรับเองว่า ในความเป็นจริง กองกำลัง นีโอ นาซี (Neo Nazi) ไม่เพียงแค่ ก่อความไม่สงบ แต่ มีส่วนใหญ่มีอาวุธ กลุ่มกองกำลังติดอาวุธที่สาธารณะชนได้รับการบอกกล่าวซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่าไม่มี ตอนนี้ได้รับการขับเคลื่อนโดนระบอบใหม่ในเคียฟ ซึ่งกำลังหวาดหวั่นว่าสักวันปลายกระบอกปืนหันกลับมาที่พวกเขาเป็นรายถัดไป
แม้จะมีความขัดแย้งที่ถูกนำโดย กลุ่มติดอาวุธแสดงตัวว่าเป็นพวกนาซีอย่างเปิดเผย, เป็นพวกเหยียดผิว และ บ้าคลั่ง สหรัฐอเมริกาและยุโรป ยืนอย่างแข็งแกร่งอยู่เบื้องหลังพวกเขา พวกกลุ่มสนับสนุนการรวมยูเครนเข้าในสหภาพยุโรป ซึ่งจะทำให้ บริษัทยักษ์ใหญ่ที่มีอำนาจผูกขาดทางการเงินของ Wall Street และ London สามารถเอื้อมมือเข้าไปถึงได้ หลักการที่แท้จริงและเป็นหลักการเดียวที่อยู่เบื้องหลังการสนับสนุนนั้นมี นัยยะที่น่ารังเกียจ เป็นนาซีที่แท้จริง
ดังนั้นเพื่อเป็นการยืนยันการสนับสนุน "Euromaidan" อย่างเข้มแข็งของชาติตะวันตก วุฒิสมาชิกสหรัฐ จอห์น แม็คเคน ได้บินไปเคียฟและขึ้นบนเวทีเคียงข้างกับ ผู้นำของ พรรคขวาจัด สโวโบดา “Svoboda" แม็คเคนได้ไม่เพียงแต่เรียกร้องให้ชาวตะวันตก ให้การสนับสนุนอย่างต่อเนื่องต่อระบอบการปกครองใหม่ในเคียฟ แต่ยังให้สนับสนุนการให้คำปรึกษาทางทหาร และอาวุธ และให้เริ่มจัดส่งไปยัง ยูเครน โดยเขาหวังว่า จะกลายเป็นด้านหน้าติดอาวุธใหม่ เพื่อต่อต้านรัสเซียที่เป็นประเทศเพื่อนบ้าน
นอกเหนือไปจากภัยจากการคุกคามของแม็คเคน , ชาติตะวันตกมีความพยายามที่จะกำหนดบทลงโทษชาวยูเครนและชาวรัสเซียที่แสดงท่าที่เป็นภัยต่อระบอบการปกครองใหม่ที่ชาวตะวันตกถือหางในเคียฟอย่างชัดเจน - และ ขณะที่พวกเขาพยายามที่จะแต่งเนื้อแต่งตัวตัวผู้คนพวกที่เขาได้ช่วยให้เข้าสู่อำนาจ ด้วยหลักการ "ประชาธิปไตย" แต่แค่ตรวจสอบอย่างหยาบๆก็เป็นที่ชัดเจนแล้วว่ามันตรงกันข้าม
ในประเทศไทย …
ในกรุงเทพมหานครเมืองหลวงของประเทศไทย การประท้วงมาจากการร่วมมือกันของนักวิชาการ, นักการเมือง และ กลุ่มต่างๆของสังคม โดยกลุ่มโดดเด่นคือ การนำของพรรคประชาธิปัตย์ซึ่งเป็นพรรคฝ่ายค้าน และมีผู้ที่เข้าร่วมเป็นคนท้่วไปตั้งแต่สหพันธ์แรงการวิสาหกิจ มหาวิทยาลัย ข้าราชการ ชาวนาที่โดนโกง การเข้าร่วมการประท้วงครั้งนี้มาจากทุกภาคส่วนในสังคมไทย ทั้งในด้านภูมิภาคและ ด้านสังคม
พวกเขายืนตรงข้ามกับ ทักษิณ ชินวัตร แทนที่จะอ้างว่าเป็นโครงการการลุกขึ้นต่อสู้เพื่ออธิปไตยที่รัฐบาลขัดขวางอยู่อย่างในเช่นกรณีของการประท้วง Euromaidan ในยูเครน ในประเทศไทยผู้ประท้วงได้ต่อต้านการปกครองโดยเผด็จการ ของมหาเศรษฐี ทักษิณ ชิณวัตร ที่ยังคงมีอำนาจที่เหนียวแน่นในการเมืองไทยมานานกว่าทศวรรษ ขณะนี้ น้องสาวของเขาเอง ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ก็เป็นตัวแทนทางสัญลักษณ์ ในการดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีแทนเขา ในขณะที่เขาสั่งการอย่างเปิดเผยจากต่างประเทศ โดยขณะเดียวกันก็หลบหนีโทษจำคุก 2 ปี หมายจับหลายหมาย และ รายการคดีที่ต้องขึ้นศาลที่ยาวเหยียด
เขา(ทักษิณ) ยังคงมีความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิด กับ องค์กรเงินทุนตะวันตกระดับสูง นับย้อนไปตั้งแต่ปี 1990
เมื่อเขาทำหน้าที่เป็นที่ปรึกษา ให้กับ บริษัทซึ่งปัจจุบันคือ กลุ่ม คาร์ไลล์ กรุ๊ป ที่ฉาวโฉ่ และเมื่อเขาเข้าทำงาน ในปี 2001 เขากระหายอยากที่จะขายโครงสร้างพื้นฐานของไทย ทรัพยากรธรรมชาติ และ อำนาจอธิปไตย ให้กับ วอลสตีท และ ลอนดอน นอกจากนี้เขายังได้สั่งสม การละเมิดสิทธิมนุษยชนที่เลวร้ายที่สุด ในประวัติศาสตร์ไทย ฆ่าคนเกือบ 3,000 คน ใน 90 วันในช่วงของ "สงครามยาเสพติด" ในปี 2003 , ฆ่าผู้ประท้วง 85 คนในวันเดียว ในปี 2004 และ ในระยะแรกของการนั่งทำงานของเขาที่มีการลอบสังหาร หรืออุ้มหายไปของนักสิทธิมนุษยชน 18 คน ที่พยายามจะเปิดโปงการใช้อำนาจโดยมิชอบของเขา
ผู้ประท้วงเห็นการใช้อำนาจอย่างเผด็จการที่มากขึ้นๆของตระกูล "ชินวัตร" ในฐานะที่เป็นภัยคุกคามต่อประเทศที่ดำรงอยู่จริง ซึ่งรวมถึงเรื่องสัมปทานที่ทักษิณให้กับชาวตะวันตก นับตั้งแต่การเลือกตั้งทั่วไปในปี 2011 ที่ทำให้น้องสาวของเขา ได้เข้านั่งทำงาน ผู้ประท้วงเริ่มได้รับสัญญานเตือนว่าเป็นระบอบการปกครองแบบใช้ตัวแทนหุ่นเชิดของเขา ที่ได้ "ทำลายอุตสาหกรรมข้าวไทยด้วยมือของรัฐบาล" โดยที่ครั้งหนึ่งประเทศไทยถือเป็นผู้นำของโลกในการส่งออกข้าวและเคยเป็นผู้กำหนดมาตรฐานการค้าข้าวระหว่างประเทศมานานหลายปี แต่ตอนนี้ผลจากนโยบายจำนำข้าวได้ทำให้คุณภาพข้าวไทยตกต่ำลง ทั้งในแง่คุณภาพและปริมาณ และรัฐบาลยังไม่สามารถจ่ายเงินค่าข้าวตามสัญญาให้กับชาวนาหลายพันคนซึ่งมาถึงปัจจุบันนี้ นานมากว่าครึ่งปีแล้ว ที่ไม่มีการขายข้าว และข้าวที่ค้างโกดังอยู่ก็ไม่สามารถนำมาบริโภคได้ เพราะกลายเป็นข้าวเน่าในโกดังต่างๆทั่วประเทศไปหมดแล้ว
นอกจากนี้ ระบอบทักษิณนี้ยังมีความพยายามที่จะเขียนรัฐธรรมนูญใหม่ให้ตัวเองได้รับนิรโทษกรรม สำหรับความผิดทางอาญาที่ครอบคลุมอย่างกว้าง และกำจัดบทบัญญัตที่จำกัดอำนาจของสำนักงานนายกรัฐมนตรี - ทั้งหมดเป็นการเคลื่อนไหวที่ชัดเจนที่ใช้อำนาจเหนือกฏหมายเพื่อทำให้พ้นข้อกล่าวหา ของ ทักษิณ ชินวัตร เพื่อให้เขาได้อำนาจคืนมา และ ให้โอกาสเขาได้ขยายอำนาจ เมื่อเขากลับมา
"ตะวันตก” ได้มีปฏิกิริยาต่อผู้ประท้วงแบบแตกหัก โดยใช้เครื่องจักร “สื่อยักษ์ใหญ่” เพื่อใช้ต่อต้านผู้ประท้วง โดยวาดภาพให้พวกเค้าเป็นพวก”สังคมชั้นสูง” แม้ว่าจะมีคนจากชาวนาที่สิ้นเนื้อประดาตัวหลั่งไหลเช้ามาจากชนบทเพื่อเข้าร่วมในส่วนของพวกเค้า พวกสื่อตะวันตกก็ยังคงให้ชื่อในข่าวว่าเป็นการกิจกรรมของพวก “ต่อต้านประชาธิปไดย" และ แม้กระทั่ง พวก “กลุ่มใช้ความรุนแรง” ซึ่งไม่เป็นความจริง
เพราะการประท้วงในกรุงเทพฯ ไม่มีการกลุ่มติดอาวุธเหมือนการประท้วงของ Euromaidan ในยูเครน ตรงกันข้ามการประท้วงในกรุงเทพฯเป็นการประท้วงอย่างสงบและปราศจากอาวุธ มีแต่รัฐบาลเท่านั้นที่ใช้ความรุนแรง โดยมีการประกาศล่วงหน้าว่าจะมีการใช้ความรุนแรงต่อผู้ชุมนุมถ้าไม่มีการยุติการชุมนุม
โดยนิตยสารไทม์ วันที่ 16 มกราคม 2014 ได้รายงานในบทความ เรื่อง “ปิดกรุงเทพ: ผู้สนับสนุนยิ่งลักษณ์เตรียมการต่อสู้เพื่อประชาธิปไดย” (“Bangkok Shutdown: Yingluck Supporters Prepare to Fight for Democracy,”) ว่า:
ในขณะที่การประท้วงต่อต้านรัฐบาลของไทยล่วงเข้าสู่วันที่สี่ของพวกเขา ผู้สังเกตการณ์กล่าวว่า แนวโน้มของการที่จะมีการเผชิญหน้าที่รุนแรงเพิ่มขึ้น โดยมีรายงานว่าของผู้สนับสนุนรัฐบาลสะสมอาวุธไว้ในกรณีที่มีการขับไล่นายกรัฐมนตรี ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร
ตามรายงานของ บางกอกโพสต์ สมาชิกหัวรุนแรงของเสื้อแดง - ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีการใช้ความรุนแรงอย่างหนัก ของ ยิ่งลักษณ์ และ พี่ชาย ทักษิณ ชินวัตร - ประกาศพร้อมที่ระดมอาวุธในกรณีที่ นายกรัฐมนตรีวัย 46 ปี ถูกบังคับให้ออกจากตำแหน่ง โดยทั้งทหาร หรือ การเข้ามาแทรกแซงของระบบยุติธรรม
ข่าวอ้างถึง แหล่งข่าวเสื้อแดง ว่า “ในหมู่นักรบเสื้อแดงตอนนี้มีการความรู้สึกที่ต่อต้านรัฐประหาร และ ต่อต้านศาลอย่างรุนแรง ซึ่งกลุ่มดังกล่าวเป็นผู้ที่มีความคุ้นเคยและมีเชี่ยวชาญในการใช้อาวุธ . “นอกจากกลุ่ม“ตะวันตก” ได้สนับสนุน พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร อย่างเข้มแข็งผ่านสื่อของพวกเขา เช่นเดียวกับในยูเครนแล้ว พวก "ตะวันตก" ยังส่งตัวแทนขึ้นบนเวทีเสื้อแดง ในการชุมนุมฝ่ายผู้สนับสนุนระบอบ(ทักษิณ) โดยนาย โรเบิร์ต อัมสเตอร์ดัม (Robert Amsterdam) ล็อบบี้ยิสต์จาก Amsterdam & Peroff ได้สื่อสารผ่านการวีดิโอ Skype เข้ามา เพื่อทำให้การยืนยันกับผู้สน้บสนุนระบอบว่า”ตะวันตก”อยู่ข้างเดียวกันกับพวกเค้า และบอกให้กลุ่มผู้สนับสนุนทักษิณไม่ต้องสนใจ ศาลไทยและ องค์กรอิสระต่างๆคณะกรรมการป้องกันและปรามปรามทุจริตแห่งชาติ, และแม้กระทั่งยกเลิกอำนาจและหน้าที่กองทัพไทย ซึ่งการปราศจากการตรวจสอบแบบนี้เคยเกิดขึ้นมาแล้วในสมัยทักษิณมีอำนาจที่เป็นเผด็จการอย่างเต็มรูปแบบ
อัมสเตอร์ดัม ก็เหมือนกับ พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร และ ระบอบตัวแทนหุ่นเชิดของเขา ที่พยายามวาทกรรมว่ามีการ " รัฐประหารโดยตุลาการ” ในกรณีที่ศาลได้ใช้อำนาจในการตรวจสอบการใช้อำนาจที่ไม่ถูกต้อง และการคอรัปชั่น (ที่ยังไม่ได้รวมถึงคดีโกงการจำนำข้าวที่ถือว่าเป็นกรณีเฉพาะ) และพยายามปิดทางการตรวจสอบทุกอย่างที่จะมีผลทำให้รัฐบาลชุดนี้ต้องออกไป ซึ่งในหลายประเทศการตรวจสอบรัฐบาลที่คอรัปชั่น ใช้อำนาจโดยมิชอบ ควรพิจารณาได้ว่าคือ "ความยุติธรรม" แต่สำหรับพวก "ตะวันตก" ที่พวกเขาถือหางกันการทำแบบนี้จะเรียกว่า "ความไม่ยุติธรรม" ไปทันที โดยพยายามเสนอมาตรการเข้าแทรกแซงเหมือนที่ อัมสเตอร์ดัม ทำกับประเทศไทยและ กลุ่ม "ตะวันตก"ที่ทำกับคนรัสเซียและคนยูเครนที่ต่อต้านการชุมนุมที่มีตะวันตกหนุนหลังในกรุงเคียฟ
เกมส์จบ
ภายใต้การสั่งการของโลก”ตะวันตก” ในตอนนี้ กลุ่มติดอาวุธที่ยึดอำนาจในกรุงเคียฟ กลับถูกเรียกว่าเป็น "ประชาธิปไตย" ในขณะที่คำตัดสินของศาลว่า รัฐบาลมีความผิดเรื่องคอรัปชั่นชัดเจนและมีการใช้อำนาจโดยมิชอบที่เกิดขึ้นในกรุงเทพฯกลับถูกตะวันตกเรียกว่าเป็นการ "รัฐประหาร" ” ซึ่งสามารถเห็นได้อย่างชัดเจนว่าตะวันตกนั้นสนับสนุนคนที่มีประโยชน์ต่อพวกเขาเท่านั้นซึ่งเหล่านี้เป็นการขยายอำนาจของประเทศมหาอำนาจในตะวันตก ในขณะที่พวกนาซีในเคียฟเต็มใจให้ ยูเครน ก้าวขึ้นไปอยู่ในสหภาพยุโรปเพื่อให้ยุโรปสามารถเข้ามากอบโกยผลประโยชน์และทรัพยากรจากยูเครนได้ ทักษิณ ชินวัตร เองก็ทำแบบนั้น ในการเต็มใจให้มหาอำนาจมาเข้าครอบครองตักตวงทรัพยากรของประเทศไทยมานานกว่าทศวรรษ ในรูปแบบของการค้าเสรี การแปรรูปรัฐวิสาหกิจ และการให้กองกำลังต่างชาติเข้ามาใช้ประโยชน์ในฐานทัพไทย
ในยูเครน กลุ่ม“ตะวันตก” ที่เป็นกลุ่มอำนาจใหม่ดูเหมือนจะยังไม่สา่มารถตั้งหลักในเคียฟได้มากนัก เห็นได้จากการสูญเสียไครเมีย (Crimea) รวมถึงมีการที่ยูเครนตะวันออกขู่ว่าจะมีการถอนตัวออกจากยูเครน แต่ยังไม่เป็นที่แน่ชัดว่า "เกมส์จบ" จะเป็นอย่างไร แต่อิทธิพลของตะวันตกเริ่มลดลงในทั่วโลก จึงได้แต่รอคอยให้พวกกล้าขึ้นลุกมาท้าทายต่อสู้กับกลุ่มอำนาจใหม่ที่ปกครอง "เคียฟ" อยู่ในตอนนี้
ในประเทศไทย ปรากฏว่า ระบอบของ ทักษิณ ชินวัตรได้ ถึงจุดสิ้นสุดของจุดสิ้นสุดแล้ว ศาลได้มีความชัดเจนในการดำรงความยุติธรรม โดยตัดสินให้ยิ่งลักษณ์ พ้นจากตำแหน่ง เพราะการบริหารงานอย่างที่ผิดพลาดมาตั้งแต่ปี 2011 กลุ่มที่เคยสนับสนุนอย่างเหนียวแน่นได้ลดน้อยลงอย่างมากและแย่ไปกว่านั้นคนกลุ่มนี้ยังไปร่วมกับผู้ต่อต้านระบอบทักษิณอีกด้วย
การกำจัดทักษิณออกจากภูมิทัศน์การเมืองของไทยอย่างถาวร จะเป็นเช่นเดียวกับประเทศอียิปต์ที่สามารถต่อต้านกลุ่มภราดรภาพมุสลิมที่ได้รับการสนับสนุนจาก”ตะวันตก”ได้สำเร็จ และลดการมีอิทธิพลของ "ตะวันตก" แบบที่ไม่สามารถกลับมามีอิทธิพลได้เหมือนแต่ก่อน ในขณะที่ "ตะวันตก" กำลังยุ่งกับการสร้างภาพป้ายสีปรากฎการณ์ที่เกิดขึ้นในประเทศไทยที่กำลังต่อต้านรัฐบาลเผด็จการว่าจะนำไปสู่สงครามกลางเมือง ซึ่งทั้งในแง่ประชากร และ ในแง่สถิติตัวเลขแล้ว ไม่มีทางเป็นไปได้ แต่การจบเกมส์ในไทยคือ "การใช้ความรุนแรงและการใช้กองกำลังก่อการร้าย" ซึ่งจะยิ่งเป็นหนทางทำให้เขาและคนในระบอบทักษิณหมดสิทธิ์ที่จะได้กลับมาสู่อำนาจได้อีก
โดย Tony Cartalucci กรุงเทพฯ, นักวิจัยภูิมิศาสตร์การเมือง และนักเขียน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สำหรับ นิตยสารออนไลน์ “New Eastern Outlook”.