Friday, February 13, 2015

บันทึกสุดท้าย-หยุดสัมปทานรอบที่ 21 : รัฐโกหกประชาชน/ความจริงอีกด้านที่คนไทยต้องรู้ (ตอนที่ 4)


13 ก.พ.2558- (เดชา พาเทล-AltThaiNews) นับถอยหลังวันเสียเอกราชทางพลังงานของชาติ หลากหลายเหตุผลที่คนไทยต้องรับรู้ว่าทำไมเราต้องหยุดสัมปทานรอบที่ 21 ที่กำลังจะเกิดขึ้นในวันที่ 18 ก.พ.นี้

The Alternative Thai News Network (AltThaiNews) ได้บันทึกสัมมนาวิชาการประจำปี 2558 เรื่อง “สืบสานพระราชปณิธาน การจัดการทรัพยากรเพื่อประเทศไทย” ที่จัด โดยศูนย์วิจัยนโยบายพลังงานและทรัพยากร มหาวิทยาลัยรังสิต เมื่อเร็วนี้ๆ ที่มีผู้ร่วมสัมมนาที่ต่อสู้เรื่องนี้มาอย่างยาวนาน เพื่อให้เป็นความรู้และข้อมูลให้คนไทยรับรู้ ว่าทำไมเราต้องหยุดสัมปทานครั้งนี้

บทความก่อนหน้าเราได้รู้ถึงพระราชปณิธานของพระมหากษัตริย์ไทย ในเรื่องการจัดการทรัพยากรเพื่อประเทศไทย เพื่อประโยชน์สูงสุดของชาติ และ จุดอ่อนข้อบกพร่องของระบบสัมปทานและการคลังปิโตรเลียมในปัจจุบันที่ทำให้ชาติเสียหายทุกด้าน รวมถึง แนวทางการทวงคืน ปตท.มาเป็นของประชาชน และการหาทางออกอื่นๆเพื่อให้แหล่งพลังงานของชาติเป็นของคนไทยอย่างแท้จริง!!!!

ต่อจากนี้จะเป็นการตอกย้ำถึงข้อมูลอีกด้านที่ภาครัฐไม่เคยให้ประชาชนได้รับรู้  ว่าแท้จริงแล้วประเทศไทยมีทรัพยากรมากมายแค่ไหน และกฎหมายพรบ.ปิโตรเลียม  2514 ที่รัฐยังไม่แก้ไข  เอารัดเอาเปรียบคนไทยอย่างไร  รัฐโกหกต่อประชาชนทั้ง 67  ล้านคนแบบนี้ได้อย่างไร   เราในฐานะคนไทยต้องรู้เท่าทันข้อมูลเหล่านี้   โดยที่ผ่านมารัฐไม่สามารถตอบคำถามเรื่องเหล่านี้ได้เลย ว่าระบบ 3 plus ให้ประโยชน์ต่อประเทศไทยจริงหรือไม่  น้ำมันจะหมดโลกจริงไหม ราคาน้ำมันลดต่ำสุดตอนนี้เป็นเพราะอะไร   มีคำตอบดังต่อไปนี้



ณรงค์ โชควัฒนา นักธุรกิจและนักวิชาการอิสระ  ที่ต่อสู้การปฏิรูปพลังงานให้เป็นของประชาชนมานาน  กล่าวว่า ที่ผ่านมารัฐมักจะโจมตีภาคประชาชนต่อเนื่องข้อมูลไม่น่าเชื่อถือ  แต่ขอย้ำว่าข้อมูลภาคประชาชนน่าเชื่อถือมากกว่าข้อมูลของภาครัฐ เพราะตนเองมีประสบการณ์จากการที่ได้เรียนที่วิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร (วปอ.) และได้มีโอกาสได้รับฟังข้าราชการมาให้ข้อมูลโดยที่พวกเขาจะไม่มีความผิด ทำให้ได้ข้อมูลต่างๆเยอะมาก ซึ่งตรงข้ามกับข้อมูลรัฐอย่างสิ้นเชิง 

ณรงค์ โชควัฒนา นักธุรกิจและนักวิชาการอิสระที่ต่อสู้ประเด็นสาธารณะต่างๆ
เพื่อประชาชาชนมาอย่างยาวนาน 
ทั้งนี้ยืนยันว่าข้อมูลของภาคประชาชนน่าเชื่อถือกว่าข้อมูลของรัฐ เพราะมีที่มาที่ไป โดยนำมาจากเว็บไซต์ของกระทรวงพาณิชย์ กระทรวงพลังงาน ข้อมูลจากการรายงานผลประกอบการของบริษัทเอกชนที่ได้สัมปทานต่อตลาดหลักทรัพย์ ที่ต้องให้ข้อมูลกับผู้ถือหุ้นของเขาในต่างประเทศ ซึ่งเป็นข้อมูลที่เป็นข้อเท็จจริง ไม่เช่นนั้นจะสามารถเข้าข่ายปั่นหุ้นซึ่งสามารถติดคุกได้

ก่อนหน้านี้เมื่อปี 2555 รัฐบาลในสมัยนั้นได้มีการเปิดสัมปทานรอบที่ 21 เช่นกัน แต่ถูกเลื่อนออกไป เพราะ หลังจากที่ได้รับฟังข้อมูลจากภาคประชาชน และหน่วยงานต่างๆที่เกี่ยวข้อง ทางคลังสมองวปอ.ทำหนังสือทักท้วงเสนอให้หยุดสัมปทาน จนกระทั่งสัปทานด้งกล่าวถูกเลื่อนมาเป็นปี 2558 และล่าสุดคลังสมอง วปอ.ได้ส่งหนังสือทักท้วงและเสนอให้หยุดสัมปทานรอบที่ 21 รอบล่าสุดไปแล้วเช่นกัน

ดังนั้น ข้อมูลที่ภาคประชาชนได้มามีที่มาที่ไปทั้งสิ้น และน่าเชื่อถือ ตรงข้ามกับข้อมูลของรัฐ ที่ไม่มีที่มาที่ไป และไม่ยอมตอบข้อซักถามใดๆเลย เพราะข้าราชการถูกห้ามให้พูดความจริง และต้องทำตามคำสั่งของนักการเมืองที่จะได้ผลประโยชน์ เพราะฉะนั้น บอกได้เลยว่าข้อมูลของภาครัฐวันนี้เชื่อถือไม่ได้อย่างสิ้นเชิง เป็นข้อมูลที่พิสดาร ไม่มีข้อมูลอะไรที่เป็นความจริงเลย

ทังนี้เป็นเรื่องที่น่าเกลียดมากที่ประชาชนคนไทยถูกหลอกโดยข้อมูลผิดๆจากภาครัฐ ซึ่งนักการเมืองทุกพรรคที่ผ่านมามีผลประโยชน์จากบริษัทปิโตรเลียมทั้งสิ้น ไม่มีพรรคเทพ ไม่มีพรรคมาร เพราะฉะนั้นประชาชนจึงมีข้อมูลผิดๆ และปล่อยให้เขาปล้นเอาทรัพยากรไปจำนวนมหาศาล ซึ่งเป็นเรื่องน่าอับอายทั้งโลก เพราะเป็นการปล้นกันต่อหน้าประชาชน 67 ล้านคน

ก๊าซไทยมีมากจนต้องเผาทิ้ง!? 

ที่ผ่านมากระทรวงพลังงานมักจะให้ข้อมูลว่า ประเทศไทยมีปิโตรเลียมน้อยมาก หากคิดค่าสัมปทานมากเกินไป ประเทศจะเสียหายเพราะต่างชาติจะไม่มาลงทุน เพราะเราไม่มีน้ำมันเหมือนประเทศตะวันออกกลาง เรื่องนี้เป็นการหลอกลวง เนื่องจากอ่าวไทยวันนี้มีหลุมเจาะแก๊สและน้ำมันถึง 400 หลุม โดยทุกบ่อก๊าซมีน้ำมัน ทุกบ่อน้ำมันมีก๊าซธรรมชาติอยู่ร่วมกัน ก๊าซทุกหลุมถูกลำเลียงทางท่อมาขึ้นที่ จ.ระยอง มาป้อนโรงแยกก๊าซถึงหกโรง แต่ไม่สร้างโรงที่ 7 แต่กลับมามีการเผาทิ้ง 

https://www.facebook.com/narong.chokewatana/photos/
 
การที่ไม่ยอมสร้างโรงแยกก๊าซโรงที่ 7 ก็เพื่ออ้างเหตุว่าประเทศไทยมีก๊าซธรรมชาติน้อย ต้องไปซื้อจากพม่าและส่งต่อมาที่โรงไฟฟ้าราชบุรี กิโลกรัมละ 12 บาท ทั้งๆ ที่เราขายก๊าชธรรมชาติให้มาเลเซีย ที่แหล่งทับซ้อนไทย-มาเลเซีย ที่อ.จะนะ จ.สงขลา แค่กิโลกรัมละ 66 สตางค์เท่านั้น ถ้าข้อมูลนี้ไม่จริงก็ขอให้รัฐชี้แจงได้เลย หรือถ้าสงสัยรัฐก็ควรตั้งคณะกรรมการมาสอบสวนไม่ใช่บอกว่าประชาชนมั่ว เพราะข้อเท็จจริงคือก๊าซเรามีมากจนต้องเผาทิ้ง และเป็นเรื่องที่น่าเสียใจมากที่ภาครัฐทำแบบนี้กับประชาชน ปล่อยให้ประชาชนต้องใช้ก๊าชในราคาแพง ทั้งที่เราสามารถผลิตเองได้
ในเรื่องของน้ำมันนั้น ในอ่าวไทยเรือบรรทุกน้ำมันวนเวียนอยู่ถึง 400 กว่าลำ ลำเล็กๆบรรทุกได้ 3 หมื่นตัน ลำใหญ่ 7 หมื่นตัน ลำเล็กลำเดียวจุได้เทียบเท่ากับน้ำมันกว่า 1 แสนบาเรล 1 บาเรล คือ ถังบรรจุน้ำมันได้ 160 ลิตร ถ้าหากมีเรือบรรทุกน้ำมันลักลอบออกจากอ่าวไทยวันละ 7 ลำ จาก 400 ลำ แปลว่าประเทศไทยจะถูกลักลอบนำน้ำมันดิบเถื่อนออกไป 1ล้านบาเรลต่อวันหรือ 160 ล้านลิตร ซึ่งเท่ากับกำลังการผลิตของโรงกลั่นน้ำมันทั้ง 6 โรงในประเทศไทยรวมกันในหนึ่งวัน

ทั้งนี้ประเทศไทยเป็นประเทศที่ผลิตน้ำมันดิบและน้ำมันสุกที่กลั่นแล้วส่งออกให้กับประเทศเพื่อนบ้าน สิงคโปร์ พม่า ลาว เวียดนาม เขมร รวมขายน้ำมันดิบให้จีน สหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น ทำให้รายได้จากน้ำมันสูงถึงปีละ 400,000 ล้านบาท แซงหน้าข้าวและยางพาราไปแล้ว เพราะฉะนั้นอยากให้รัฐบาลเลิกบอกได้แล้วว่าประเทศไทยมีน้ำมันน้อย

ข้อมูลเหล่านี้เป็นสิ่งที่คนไทยควรรู้ และเป็นสิ่งที่รัฐบาล คณะคสช. ต้องเอาใจใส่ เพราะเป็นผลประโยชน์มหาศาล ถ้ามีเรือลักลอบขนน้ำมันเถื่อน 7 ลำต่อวัน ก็แปลว่า ประเทศไทยของเราสั่งซื้อน้ำมันที่มีต้นกำเนิดจากประเทศไทยกลับมาใช้

ทั้งนี้ข้อมูลต่างๆเรื่องน้ำมันของประเทศไทยไม่ได้รับการเปิดเผย เพราะข้อมูลเป็นความลับของนักธุรกิจเอกชน ตาม พรบ. ปิโตรเลียม 2514 ซึ่งเป็นกฎหมายของประเทศเมืองขึ้น ประเทศเจ้าของอาณานิคม สั่งให้ประเทศเมืองขึ้นใช้กฎหมายแบบนี้ ประเทศไทยไม่เคยเป็นเมืองขึ้นของใคร แต่ดันเอากฎหมายของเมืองขึ้นมาใช้และไม่ยอมแก้ ถามว่าเป็นเพราะอะไร



ชี้ระบบ3 Plus ลวงโลก เอื้อเอกชนเปิดช่องคอรัปชั่น

ทั้งนี้ระบบ การให้สัมปทานของประเทศไทยที่เรียกว่า 3 Plus (3+) ที่รัฐบาลโฆษณาว่าดีที่สุดในโลก โดยระบุว่า 1.ประเทศไทยจะได้ค่าภาคหลวงร้อยละ 5-15 จากราคาขายน้ำมันของบริษัทที่ได้สัมปทาน 2. บวกด้วยการได้ภาษีจากผลกำไรของบริษัทที่ผลิตน้ำมันและก๊าซในอัตรา 50% และบวกสุดท้าย 3. คือ การได้ผลประโยชน์ตอบแทนพิเศษ (ในอัตราก้าวหน้า ร้อยละ 75) ซึ่งถือว่าเป็นระบบสัมปทานที่ให้ประโยชน์กับประเทศชาติมากที่สุดอยู่แล้ว นั้น ซึ่งเป็นเพียงการโฆษณาชวนเชื่อเพราะรัฐใช้งบประมาณเป็นหมื่นล้านที่ให้ข้อมูลครอบงำประชาชนแบบนี้ เพราะไม่มีทางที่สิ่งเหล่านี้จะเป็นจริง 

เครดิตภาพจาก :  www.facebook.com/pages/คุยกับหม่อมกร



เพราะหากเข้าไปดูในรายละเอียดจะพบว่า แม้ว่าภาษีเงินได้ในธุรกิจผลิตน้ำมันจะเก็บสูงกว่าธุรกิจทั่วไปเป็นอัตรา 50% ของผลกำไรก็จริง แต่ว่าอนุญาตให้บริษัทเอกชนด้านพลังงานนำค่าใช้จ่ายมาหักเพื่อให้ผลกำไรลดลงได้ เช่น ค่าใข้จ่ายในการขุดเจาะที่ล้มเหลวไม่พบน้ำมันและก๊าซจากหลุมอื่น เพราะฉะนั้นค่าใช้จ่ายและความเสี่ยงทั้งหมดก็หักจากภาษีจำนวนนี้อยู่แล้ว โดยเฉพาะค่าใช้จ่ายต่างๆนั้น บริษัทเอกชนสามารถที่จะบวกเพิ่มเกินความเป็นจริงได้หลายเท่าไม่ว่าจะเป็นอุปกรณ์ ค่าใช้จ่ายสิ้นเปลีอง ซึ่งมีราคาแพงกว่าความเป็นจริงทั้งหมด

รวมถึงค่าใช้จ่ายบุคลากรในสำนักงานใหญ่ในต่างประเทศที่อ้างว่าเกี่ยวข้องกับการเจาะและผลิตน้ำมันก็สามารถมาหักจากภาษีเงินได้ส่วนนี้ รวมทั้งเงินบริจาคให้กับชุมชน มหาวิทยาลัย หน่วยงานวิจัยต่างๆ รวมไปถึงค่าประชาสัมพันธ์ การโฆษณาชวนเชื่อในสื่อต่างๆ เป็นหมื่นล้านบาทก็สามารถนำมาหักค่าใช้จ่ายได้ทั้งหมด ดังนั้น ระบบสัมปทานที่ให้ทำอยู่นี้ ทำให้ทรัพยากรต่างๆที่เรามีกลายเป็นของต่างชาติหมด ถ้าเราจะเข้าไปต้องขออนุญาต เพราะถือว่าเราเสียสิทธินอกอาณาเขต

เพราะฉะนั้นภาษีเงินได้รวมทั้งค่าภาคหลวงที่เราเก็บได้จากการผลิตน้ำมันดิบและก๊าซธรรมชาติในประเทศไทยรวมกันจึงได้ประมาณปีละ 5 หมื่นล้านบาท จากที่มีรายงานให้กับกระทรวงพาณิชย์ว่ามียอดขายเพิ่มขึ้นตลอดเวลาจนถึงปัจจุบันนี้เกิน 4 แสนล้านต่อปี ซึ่งผลประโยชน์ที่ได้ก็แค่ 10 กว่า% เท่านั้น ฉะนั้นที่อ้างว่าประเทศไทยได้ผลประโยชน์ถึง 75% นั้นยังไม่เคยเกิดขึ้นเลย

นอกจากนี้ วิธีการคัดเลือกและให้สัมปทานตามพระราชบัญญัติปิโตเลียม ปี พ.ศ. 2514 ก็เป็นวิธีการที่พิสดาร คือ แทนที่จะให้สัมปทานกับผู้ที่สามารถเสนอผลประโยชน์สูงสุดต่อประเทศไทย กลับกลายเป็นว่าผลประโยชน์ที่ให้นั้นตามผลสำรวจปริมาณน้ำมันที่มีอยู่ของเอกชน ถ้ามีมากก็จ่ายสัมปทานมากแต่ไม่เกิน 15% ถ้ามีน้อยก็จ่ายน้อยแต่ต้องไม่ต่ำกว่า 5% ซึ่งไม่มีเอกชนรายไหนที่โง่พอที่จะแจ้งว่าสำรวจแล้วพบว่ามีน้ำมันหรือก๊าซมากอยู่แล้ว

เพราะฉะนั้นวิธีการพิจารณาให้สัมปทานกับเอกชนรายใดรายหนึ่ง จึงขึ้นอยู่กับคุณสมบัติของเอกชนรายนั้นว่ามีทุนมากน้อยแค่ไหน มีประสบการณ์ในการสำรวจขุดเจาะน้ำมันและก๊าซมานานและมากน้อยเพียงใด โดยวิธีที่ไม่แตกต่างกับกรรมการตัดสินการประกวดนางงามที่กรรมการให้คะแนนความสวยตามสายตาและความรู้สึกส่วนตัวของแต่ละคน

 ระบบวิธีการนี้ใช้มาตลอดตั้งแต่การสำรวจขุดเจาะหลุมแรกจนกระทั่งถึงปัจจุบัน ซึ่งวิธีนี้ในสายตาของภาคเอกชนทั่วโลกจะฉลาดพอที่จะรู้ว่ารายที่จะได้สัมปทานนั้นต้องจ่ายเงินใต้โต๊ะให้กับกรรมการหรือผู้ที่มีอำนาจในการแต่งตั้งกรรมการชุดนั้น ซึ่งเป็นที่มาของปัญหาทุจริตคอร์รัปชั่นขายทรัพยากรของชาติด้วยการรับผลประโยชน์ส่วนตัว

ดังนั้นระบบ 3plus จึงเป็นระบบที่ใช้ไม่ได้ เพราะก่อให้เกิดการคอรัปชั่นมากที่สุด และยังเป็นการเอาทรัพยากรไปให้ต่างชาติทั้งหมดด้วย ความเสียหายทั้งหมดตกอยู่กับประชาชน ทั้งนี้ถ้าเปลี่ยนเป็นระบบแบ่งเป็นผลผลิต รายได้อย่างน้อย 500,000ล้านบาทต่อปี เราจะเป็นประเทศรัฐสวัสดิการได้ 

https://www.facebook.com/theenergywalk/photos_stream

“น้ำมันหมดโลก” แค่วาทกรรมปั่นราคา

นอกจากนี้ที่มีโหมกระพือบอกว่า น้ำมันและแก๊สจะหมดโลกก็เป็นการโกหก เป็นการปั่นราคาให้น้ำมันราคาสูงขึ้น เพราะหากดูจากประวัติศาสตร์เรื่องราคาน้ำมัน ตั้งแต่ปี 1875 - 1975 เป็นเวลา 100ปี น้ำมันไม่เคยขึ้นราคาเลย และราคาน้ำมันดิบถูกมากแค่ 1.6 ดอลล่า ต่อ บาเรลเท่านั้น ทั้งๆที่มีสงครามโลก แต่ราคาไม่ขึ้นเลย เพราะน้ำมันมีล้นโลก 

จนกระทั่งในปี 1973 (2522) เพราะประเทศโอเปค รวมตัวกันลดกำลังผลิต เพื่อทำให้ราคาน้ำมันสูงขึ้นจาก 1.6 ดอลล่า/บาเรล พุ่งเป็น 16 ดออล่า/บาเรล หรือ 10 เท่าตัว แต่บริษัทน้ำม้นยังอ้างเหมือนเดิมว่าการขุดเจาะยากลำบาก และน้ำมันขาดแคลน ซึ่งเป็นการโกหกทั้งสิ้น เพราะไม่ว่าจะราคาเท่าไหร่ บริษัทน้ำมันก็ยังรวย เพราะมีน้ำมันล้นโลก

อย่างไรก็ตามผลจากราคาน้ำมันเพิ่มขึ้นทำให้มีการสำรวจและผลิตน้ำมันมากขึ้นทางฝั่งประเทศรัสเซีย จนทำให้ราคาร่วงอีกครั้ง เพราะมีการผลิตมากขึ้น จากนั้น กลุ่มโอเปคทนไม่ได้ขอลดกำลังผลิตอีก โดยอ้างว่ามีสงครามอิรัก ทำให้ราคาน้ำมันพุ่งขึ้นอีกครั้งไปอีกเป็นราคา30 ดอลล่า/บาเรล

จากนั้นราคาน้ำมันร่วงอีกครั้ง ทำให้มีการรวมตัวกันของบริษัทน้ำมันใหญ่ๆ 6 บริษัท ลดกำลังการผลิตอีกครั้ง โดยอ้างว่าน้ำมันจะหมดโลก เพราะจีนเปิดประเทศ ทำให้ราคาน้ำมันสูงขึ้นอีกครั้งในปี 2540 และบริษัทน้ำมันได้แบ่งผลประโยชน์กันด้วยการแบ่งพื้นที่เป็นโซนต่างๆ (ฮั๊ว) ไม่ให้มีการแข่งกันเอง โดยประเทศอยู่ภายใต้อิทธิพลของเชฟรอน ทุกคนที่จะได้ได้สัมปทานใหม่ต้องให้เชฟรอนมีส่วนร่วม ไม่เช่นนั้นจะไม่ได้รับสัมปทาน และเชฟรอนได้มีหุ้นให้บริษัทน้ำมันในประเทศไทยหลายบริษัท

ทั้งนี้หลุมน้ำมันในประเทศไทยหลายหลุมและให้สัมปทานมานานแล้วกว่า 30 ปี แต่ก็ยังขุดน้ำมันไม่หมด เพราะน้ำมันมีเยอะมาก แต่ประเทศไทยกลับเก็บค่าภาคหลวงเท่าเดิม ทั้งที่ราคาน้ำมันสูงขึ้น เพราะฉะนั้นคนที่ลงนามเรื่องนี้ต้องได้ผลประโยชน์มหาศาลหลายร้อยล้านแบบถูกกฎหมาย ใครก็อยากเป็นรัฐมนตรีพลังงงาน เพราะรวยเร็วมาก 

ส่วนราคาน้ำมันที่ต่ำลงล่าสุดตอนนี้ เป็นเพราะ อเมริกาต้องการเล่นงานรัสเซีย เพราะรัสเซียมีเงินสำรองถึง 400,000 ล้านเหรียญสหรัฐ โดยรายได้หลัก70% มาจากปิโตรเลียม ทำให้สหรัฐทนไม่ไหวที่จะเห็นรัสเซียแข็งแกร่ง ทำให้สหรัฐหยุดการซื้อน้ำมันและเอาน้ำมันที่กั้นเอาไว้เพื่อปั่นราคาให้บริษัทน้ำมันรวย เข้าสู่ตลาดโลกในชั่วข้ามคืนถึง 10 ล้านบาเรลต่อวัน โดยอ้างว่าเป็นการผลิตน้ำมันจากเทคโนโลยีใหม่ ซึ่งเป็นไปไม่ได้ที่จะผลิตได้เยอะขนาดนั้น การปล่อยนำ้มันออกมาครั้งนี้ จึงเหมือนยิงนกสองตัว คือเพื่อจัดการกับรัสเซีย และ แก้ปัญหาการขาดดุลการค้าที่สหรัฐกำลังประสบอยู่

เพราะฉะนั้น นี่คือเกมการเมืองของประเทศมหาอำนาจ ประเทศไทยควรรู้เท่าทัน และอย่าดึงมหาอำนาจเข้ามาโดยไม่จำเป็น เพราะฉะนั้นการอ้างว่าต้องรีบเปิดสัมปทาน ไม่เช่นนั้นน้ำมันจะหมดโลกจึงเป็นการโกหกทั้งสิ้น เพราะตอนนี้น้ำมันล้นโลก ไม่เหมือนตอนปี 2523 เพราะตอนนั้นน้ำมันอยู่ในมือคนขาย คือ กลุ่มโอเปค แต่ตอนนี้มันล้นโลก ถามว่าทำไมต้องรีบเปิดสัมปทาน 



การแก้ปัญหาเรื่องนี้นั้น ถ้ารัฐบาลมีความห่วงใยผลประโยชน์ประเทศชาติ รัฐบาลควรตั้งคณะกรรมการขึ้นมาสอบข้อเท็จจริง และชี้แจงให้ประชาชนทราบ และต้องหยุดการให้สัมปทาน ส่วนที่มีการบอกว่าน้ำมันจะหมดภายใน 7 ปี คือการหมดสัมปทาน แต่น้ำมันไม่ได้หมด ซึ่งเป็นเรื่องดีด้วยซ้ำที่รัฐบาลสามารถยึดบ่อน้ำมันและบ่อแก๊สทั้งหมดมาผลิตเอง เพราะยังมีน้ำมันและแก๊สอีกมากมายที่ยังไม่ได้ขุด
ทั้งนี้ สิ่งที่สหรัฐ กลัวมากที่สุด คือประเทศจีน ที่สามารถรับซื้อน้ำมันจากประเทศต่างๆ เพราะฉะนั้น เวเนซุเอล่า จึงสามารถประกาศอิสรภาพของตัวเองได้ ไม่ต้องอยู่ภายใต้การเอารัฐเอาเปรียบของบริษัทน้ำมันต่างชาติอีกต่อไป เพราะวันนี้ประเทศไทยขายน้ำมันเองได้

“ทั้งหมดนี้รัฐควรจัดการให้ถูกต้อง โดยหยุดสัมทานรอบที่ 21 ประเทศไทยมีน้ำมันจำนวนมาก อย่าไปฟังบริษัทเอกชนที่ทำธุรกิจพลังงาน และเจ้าหน้าที่รัฐที่มีผลประโยชน์ร่วมกับเอกชน อย่าฟังความข้างเดียว เพราะท่านต้องรับผิดชอบ เพราะทุกสิ่งที่ท่านตัดสินใจวันนี้จะเป็นประวัติศาสตร์ของชาติไทย” นายณรงค์ กล่าว